แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เผยผลการดำเนินการปี 66 โกยยอดขาย 30,000 ล้านบาท กางแผนปี 67 เตรียมเปิด 11 โครงการแนวราบใหม่ มูลค่ารวม 30,200 ล้านบาท ชะลอเปิดโครงการคอนโดมิเนียม เน้นขายสินค้าที่มีอยู่ ตั้งเป้ายอดขาย 31,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ 28,000 ล้านบาท และรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า 8,540 ล้านบาท
นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่าในปี 2566 ว่าในไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมามีการคาดการณ์ว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น เนื่องจากมีการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ด้วยระยะเวลาอันสั้น จึงยังอาจไม่เห็นผล อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 เป็นปีที่รัฐบาลมีการลงทุนในด้านต่างๆ มีโครงการดิจิทัล วอลเล็ต มีการดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนใประเทศไทยมากขึ้น จึงน่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาในประเทศมากขึ้น ขณะที่ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา (FED) ก็มีแนวโน้มชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจจะเห็นในไตรมาส 2 ของปี 2567 หรือช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 ดังนั้นจึงมีการคาดการณ์ว่าภาคการใช้จ่ายจะดีขึ้น และในส่วนของภาคการท่องเที่ยวก็น่าจะดีขึ้นเช่นกัน โดยในปี 2566 พบว่ามีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย 25 ล้านคน แม้ว่านักท่องเที่ยวจีนยังไม่ได้เข้ามาท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ โดยในปีที่ผ่านมาพบว่าโรงแรมในเครือบริษัททั้งในกรุงเทพฯ และพัทยา มีอัตราเข้าพักมากถึง 90% ของจำนวนห้องพัก ก็คาดหวังว่าปัจจัยเหล่านี้จะเป็นปัจจัยบวก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่น่ากังวลก็คือหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร ทั้งการปล่อยกู้เพื่อลงทุนพัฒนาโครงการและปล่อยกู้เพื่อซื้อบ้าน
นายวัชริน ให้ข้อมูลต่อไปอีกว่าในช่วงเดือนมกราคม – ตุลาคม 2566 ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนจำนวน 52,715 หน่วย ลดลง 17.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อแยกรายตลาด พบว่าตลาดบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดเพิ่มขึ้น 58% ทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 12% และคอนโดมิเนียมลดลง 48%
ในด้านอุปทาน ช่วงเดือนมกราคม –พฤศจิกายน 2566 มีจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 95,527 หน่วย ลดลง 7.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยอุปทานที่ลดลงมาจากตลาดทาวน์เฮ้าส์ 23% และคอนโดมิเนียมลดลง 10% ส่วนตลาดบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดมีการเปิดขายใหม่เพิ่มขึ้น 17.3% ส่งผลให้สินค้าบ้านเดี่ยวซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัท มีสภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้น จากอุปทานที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาจากปี 2565
ทั้งนี้ สำหรับบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ในปี 2566 ได้เปิดโครงการใหม่ 17 โครงการ เป็นสินค้าแนวราบ 16 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 43,460 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,500 ล้านบาทเมื่อเทียบกับมูลค่าโครงการตามแผนเดิม 34,960 ล้านบาท เนื่องจากมีการเปลี่ยนมาเปิดโครงการคอนโดมิเนียมวันเวลา ณ เจ้าพระยา มูลค่า 15,000 ล้านบาท แทนโครงการ The Key ศรีนครินทร์ ซึ่งมีมูลค่า 6,500 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทได้ใช้เงินลงทุนซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขายประมาณ 6,100 ล้านบาท โดยในปี 2566 บริษัททำยอดขายได้ 30,000 ล้านบาท ซึ่งสินค้าประเภทบ้านแนวราบ ซึ่งได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ ยังคงเป็นสินค้าหลักที่สร้างยอดขายให้กับบริษัท ในสัดส่วน 73% และเป็นยอดขายที่มาจากสินค้าในกลุ่มคอนโดมิเนียม 27% ขณะที่หากจำแนกตามพื้นที่ จะแบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายของโครงการในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 90% และยอดขายโครงการในต่างจังหวัด 10% ทั้งนี้ สัดส่วนระดับราคาของบ้านที่สูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป คิดเป็นประมาณ 57% ของยอดขายของบริษัททั้งหมด
นายวัชริน ให้ข้อมูลต่อไปอีกว่า ในปี 2567 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวม 30,200 ล้านบาท ลดลง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากในปี 2567 บริษัทไม่มีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม แต่หากเปรียบเทียบเฉพาะโครงการแนวราบ มูลค่าโครงการเปิดใหม่จะเติบโตขึ้น 6% จากปี 2566 ทำให้ในปี 2567 บริษัทจะมีโครงการทั้งหมดประมาณ 84 โครงการ มูลค่า 98,550 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบ 77 โครงการ มูลค่า 82,550 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท
ด้านนายโชคชัย วลิตวรางค์กูร กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ปี 2566 ตลาดคอนโดมิเนียมในบางระดับราคาฟื้นตัวต่อเนื่องหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง และคาดว่าจะดีขึ้นต่อเนื่องในปี 2567 โดยพบว่ายังมีความต้องการซื้อสินค้าระดับบนในบางทำเล จึงได้ปรับแผนจากเดิมที่จะเปิดโครงการ The Key ศรีนครินทร์ มาเปิดโครงการ วันเวลา ณ เจ้าพระยา เมื่อปลายเดือนตุลาคมแทน เพื่อตอบสนองความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมริมน้ำ โดยได้รับการตอบรับที่ดี สร้างยอดขายได้กว่า 5,000 ล้านบาท คิดเป็น 35% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท และทำให้ในปี 2566 บริษัทมียอดขายจากสินค้าคอนโดมิเนียมกว่า 6,200 ล้านบาท เติบโต 176% จากปี 2565 โดยคิดเป็น 27% ของยอดขายรวมทั้งหมดของบริษัท
นายโชคชัย กล่าวอีกว่าในปี 2567 ปัจจัยที่จะส่งผลบวกต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ คืออัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะมีการทยอยปรับลดในช่วงครึ่งหลังของปี และมาตรการของภาครัฐที่ขยายเวลาการลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง ออกไปอีก 1 ปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อคอนโดมิเนียมระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยบริษัทมีคอนโดมิเนียมแบรนด์ The Key เป็นสินค้าคอนโดมิเนียมในระดับราคาดังกล่าว ซึ่งโครงการที่เปิดขายอยู่ในปัจจุบัน คือ The Key MRT เพชรเกษม 48 คอนโดมิเนียมทำเลติดรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน นอกจากนั้น ปัจจุบันบริษัทยังมีมีสินค้าคอนโดมิเนียมในมือพร้อมขายทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 16,000 ล้านบาท และในปี 2567 จะเน้นการขายสินค้าคอนโดมิเนียมจากโครงการที่เปิดขายอยู่แล้วในปัจจุบัน ไม่มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายคอนโดมิเนียมไว้ที่ 5,500 ล้านบาท และยอดโอนที่ 2,000 ล้านบาท
นายวิทย์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการสายงานสนับสนุน บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยฐานะการเงินของบริษัทและการดำเนินงานด้านอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าว่าในปี 2566 บริษัทได้ออกหุ้นกู้ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท อายุ 2-3 ปี โดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ 3.2% ต่อปี และณ สิ้นปี 2566 มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิ อยู่ที่ประมาณ 58,000 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 1.12 ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 2.75%
สำหรับภาพรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าปี 2566 เป็นปีที่ธุรกิจมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งโดยเฉพาะจากธุรกิจโรงแรมและศูนย์การค้าในประเทศไทย คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 70% และ 100% ตามลำดับจากปีก่อน เนื่องมาจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าของบริษัทโดยตรง ทั้งนี้ บริษัทมีการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าผ่านบริษัท LHMH และ LH USAจำนวน 2,870 ล้านบาท ประกอบด้วย พัฒนาโรงแรม Grande Centre Point Surawong 920 ล้านบาท พัฒนาโครงการ Grande Centre Point Lumpini 870 ล้านบาท และพัฒนาธุรกิจโรงแรมและอะพาร์ตเมนต์ 1,080 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัท LHMH มีการลงทุนเพิ่มเติมในทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL) มูลค่ารวม 1,952 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนการลงทุนในกองทรัสต์เพิ่มขึ้นจากเดิม 14.73% เป็น 26.17% และในปี 2566 บริษัท LHMH ได้เปิดดำเนินงานโครงการใหม่ 1 โครงการ ได้แก่ โรงแรม Grande Centre Point Surawong ในเดือนพฤศจิกายน 2566 มูลค่าเงินลงทุน 2,300 ล้านบาท และได้ขายโรงแรม 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรม Grande Centre Point Pattaya และ Grande Centre Point Space Pattaya ให้กับกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL) เป็นมูลค่า 9,400 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีการรับรู้กำไรก่อนภาษีประมาณ 2,500 ล้านบาท ในไตรมาส 4 และส่วนที่เหลือจะมีการทยอยรับรู้ในงบกำไรขาดทุนระหว่างปี 2567-2575
สำหรับแผนการดำเนินงานปี 2567 บริษัทมีแผนที่จะออกหุ้นกู้มูลค่า 16,000 ล้านบาท โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียง 1.0 ซึ่งลดลงจาก ณ สิ้นปี 2566 และได้เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 11,500 ล้านบาท ประกอบด้วย งบสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 5,000 ล้านบาท งบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า 6,500 ล้านบาท โดยปัจจุบัน บริษัทมีโครงการซึ่งก่อให้เกิดรายได้ค่าเช่า ทั้งที่ดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนาทั้งหมด 16 โครงการ ดำเนินการโดยบริษัท LHMH 12 โครงการ และบริษัท LH USA 4 โครงการ และบริษัทมีแผนที่จะขายศูนย์การค้า 1 แห่งเข้ากองทรัสต์
ในด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า บริษัทดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าในประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกา โดยธุรกิจในประเทศไทย ดำเนินงานภายใต้ชื่อบริษัท แอลเอชมอลล์แอนด์โฮเทล (LHMH) และธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา ดำเนินงานภายใต้ชื่อบริษัท แอลเอชยูเอสเอ (LHUSA) ประกอบด้วยโครงการห้างสรรพสินค้า โรงแรม อะพาร์ตเมนต์ และพื้นที่สำนักงานให้เช่า
ทั้งนี้ ในปี 2567 บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) คาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ 31,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 1,000 ล้านบาท แม้ในปีนี้บริษัทไม่มีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเลย แต่ก็มีแผนที่จะพัฒนาโครงการแนวราบระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นในสัดส่วนที่สูง เพื่อนำยอดขายมาชดเชยในส่วนของยอดขายคอนโดมิเนียมและวางเป้าหมายรับรู้รายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์เอาไว้ที่ 28,000 ล้านบาท ส่วนรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 8,540 ล้านบาท