Friday, 22 November 2024 - 8:02 am
GDN-corporate-980x120
banner SENTRYSAFE
Ads_980_120
Friday, 22 November 2024 - 8:02 am
GDN-corporate-980x120
banner SENTRYSAFE
Ads_980_120

“กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์” เผยตลาดรับสร้างบ้านยังเผชิญความท้าทายรับปีมังกรไฟ เปิดแผนรุกเน้นรักษาแบรนด์คุณภาพเมินเล่นสงครามราคา

กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ เผยภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านปี 67 ยังเผชิญความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะความท้าทายในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจคู่ค้าหลักของไทย รวมทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ   แต่ยังมี 4 ปัจจัยบวก หนุนตลาดฟื้นตัว เปิดแผนปีมังกรเน้นรักษาแบรนด์ที่มีคุณภาพ ไม่เล่นสงครามราคา พร้อมเดินหน้าจัดกิจกรรม  “Site Seeing สร้างบ้าน ต้องเห็นบ้าน” ต่อเนื่อง  ดันรายได้แตะ 1,200 ล้านบาท

สุธี เกตุศิริ

นายสุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์  เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านปี 2567 ว่ายังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ที่ชัดเจนสุดคือ ความท้าทายในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจไทย มีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาทิ สงครามการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และ อิสราเอล-ปาเลสสไตล์ แม้ว่าการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน จะมีแนวโน้มว่าจะจบลงได้  แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนสูงเช่นกัน ในส่วนเศรษฐกิจของคู่ค้ารายใหญ่ โดยเฉพาะจีน สหรัฐฯ  และยุโรป จากผลกระทบจากสงครามการสู้รบ ทั้งเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นสูงในปี 2566-2567  ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจประเทศไทยค่อนข้างมาก ส่วนปัญหาในประเทศก็มีเรื่องหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง  การเมืองยังมีความไม่แน่นอน รวมไปถึงการใช้จ่ายต่างๆของภาครัฐที่งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ยังไม่ได้มีการอนุมัติจากรัฐสภา ซึ่งคาดว่าจะมีการใช้จ่ายได้อย่างมากและรวดเร็วภายในเดือนพฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป

ด้านปัจจัยบวกในปีนี้ เรื่องการท่องเที่ยว จะนำเงินสดเข้ามาในประเทศอย่างรวดเร็ว จากปี 2566 ที่มีนักท่องเที่ยวเป็นไปตามเป้าที่วางไว้คือ 28 ล้านคน  และเชื่อว่าในปี 2567 นี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากถึง 35-38 ล้านคน จากปัจจัยการเปิดฟรีวีซ่าของไทยให้กับหลายประเทศ เช่น จีน อินเดีย รัสเซีย เป็นต้น  เรื่องการส่งออก ก็เชื่อว่าตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 2567 เป็นต้นไป จะเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น ในต่างประเทศเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED จะมีการปรับดอกเบี้ยลงตั้งแต่ประมาณกลางปี 2567 เป็นต้นไป และคาดการณ์ว่าในปี 2567 จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 3-4 ครั้ง หรือประมาณ 1% ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกรวมทั้งไทยปรับลดลงด้วย และจะส่งผลให้ภาคธุรกิจทั่วโลกและไทยฟื้นตัวขึ้น  การลงทุน  ด้วยยุทธศาสตร์ประเทศจะทำให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากต่างประเทศมายังประเทศไทยมากขึ้น จากการที่รัฐบาลออกแนะนำตัวตามเวทีโลกต่างๆ ทั้งโครงการแลนด์บริดจ์ (Landbridge) หรือสะพานเศรษฐกิจ รวมไปถึงโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ และการสนับสนุน ส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางของการผลิตรถ EV   การทำ FTAกับต่างประเทศโดยเฉพาะ EU เป็นต้น  ซึ่งจะเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นตั้งแต่กลางปี 2567   การใช้เงินในประเทศ กว่างบประมาณจะผ่านการอนุมัติจากรัฐสภา คงจะสามารถใช้และกระจายงบประมาณการเงินได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป ซึ่งรัฐบาลคงต้องมีการเทงบประมาณใช้จ่ายออกมาอย่างมาก เพื่อฟื้นเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องไปได้ดี โครงการสำคัญๆและการดำเนินนโยบายต่างๆเหล่านี้ จะผลักดันให้ GDP ไทยสามารถเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 3-3.5 %  เปรียบเทียบกับ GDP ในปี 2566 ซึ่งเติบโตได้ประมาณบวกลบ 2% เท่านั้น ซึ่งในปี 2566 GDP ไทย ยังเติบโตได้น้อยกว่าปี 2565 ซึ่งโตประมาณ 2.6%

“สำหรับภาคธุรกิจอสังหาฯ และรับสร้างบ้าน ในช่วงปีที่ผ่านมา เริ่มจะฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากวิกฤติโควิด-19 แต่เริ่มมาชะลอตัวอีกในช่วงไตรมาส 3- 4 /2566 จากปัจจัยลบดังกล่าวข้างต้น” นายสุธี กล่าว

 ในส่วนของบริษัทฯเองนั้น ในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา ได้ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,200 ล้านบาท แต่เนื่องจากในช่วงไตรมาส 3-4 /2566 ภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดชะลอตัวลง ลูกค้าบางราย กู้สินเชื่อได้ไม่ 100% ส่งผลให้ชะลอการตัดสินใจสร้างบ้านไป คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10-15%   ซี่งส่วนใหญ่เป็นบ้านระดับราคา 2-8 ล้านบาท แต่ระดับ 2-5 ล้านบาทจะมากที่สุด ส่งผลให้รายได้ของบริษัทฯในปี 2566 อยู่ที่ 1,100 ล้านบาท

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2567 ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,200 ล้านบาท จากปี 2566 ที่ทำได้ 1,100 ล้านบาท เท่ากับรายได้ของปี 2565 แบ่งเป็นรายได้จาก บริษัท บิวท์ ทู บิวด์  จำกัด  ซึ่งสร้างบ้านระดับราคา 25 ล้านบาทขึ้นไป (ราคาเฉลี่ย 25,000 บาทต่อตร.ม.) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% หรือประมาณ 250 ล้านบาท บริษัท บางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด ซึ่งสร้างบ้านระดับราคา 10-25 ล้านบาท (ราคาเฉลี่ย 20,000 บาทต่อตร.ม.) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% หรือประมาณ 350 ล้านบาท และ บริษัท สมอลล์เฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด (ราคาเฉลี่ย 16,000 บาทต่อตร.ม.) ซึ่งสร้างบ้านระดับราคา 2-10 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% หรือประมาณ 600 ล้านบาท  ซึ่งถือว่าเป็นฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุด โดยในปี 2566 ที่ผ่านมามีลูกค้าเซ็นสัญญาไปประมาณ 172 หลัง และปัจจุบันบริษัทฯอยู่ในระหว่างการก่อสร้างบ้านให้ลูกค้าประมาณ 250 หลัง ราคาตั้งแต่ 2-60 ล้านบาท รวมมูลค่าประมาณ 1,375 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าในกรุงเทพฯและปริมณฑล

คุณสุธี  กล่าวเพิ่มเติมว่า ธุรกิจรับสร้างบ้านเป็นธุรกิจ  “ Product Oriented ”  ไม่ใช่   “ Marketing Oriented ”  คุณภาพบ้านหรือตัวสินค้าจึงเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าการตลาด และการโฆษณา   ถึงแม้การตลาดและการโฆษณาจะมีความสำคัญมากก็ตาม ถ้าทำเรื่องคุณภาพและมาตรฐานงานก่อสร้างได้สำเร็จ ธุรกิจจึงจะอยู่ได้อย่างมั่นคง  กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์  จึงให้ความสำคัญเรื่องแบรนด์และคุณภาพงานก่อสร้างอย่างมากมาตลอดกว่า 20 ปี ตั้งแต่ก่อตั้ง   ทั้งนี้ในส่วนการทำตลาด บริษัทฯยังคงเน้นและให้ความสำคัญกับการจัดกิจกรรม Site Seeing” สร้างบ้าน ต้องเห็นบ้าน อย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการจัดกิจกรรมไตรมาส ละ 1 ครั้ง ซึ่งได้ดำเนินการมาแล้วกว่า 15 ปี และได้รับผลตอบรับดีมากจากลูกค้า  กิจกรรมนี้ทำให้ลูกค้าได้เห็นและสัมผัสกับไซต์งานก่อสร้าง   คุณภาพ งานก่อสร้าง โรงงานผลิตชิ้นส่วนโครงสร้างบ้าน และทีมงานของบริษัทฯ  โดยการจัดกิจกรรมแต่ละครั้งสามารถรองรับลูกค้าประมาณ 40 ครอบครัว หรือประมาณ 100 รายเท่านั้น (โดยไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรม) โดยในไตรมาส 1/2567 จะจัดขึ้นในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2567 นี้

สำหรับผู้ที่สนใจหรือกำลังมีแผนสร้างบ้าน สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่ เว็บไซต์ www.btb.co.th หรือแอพพลิเคชั่น Line OA : @btb.g  และสามารถสอบถามข้อมูลกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 02 721 3999

spot_imgspot_img
spot_imgspot_img