FPT กางผลประกอบการปีงบการเงิน 2565 กำไรทะลุ 2,465 ล้าน เติบโต 57.3% จากปีงบการเงิน 2564 (ต.ค.64-ก.ย.65) หลังธุรกิจบ้านปรับกลยุทธ์เซ็กเมนท์จับตลาดกลาง-บนกำลังซื้อสูง พร้อมเดินหน้าเพิ่มนวัตกรรมสร้าง Value-added ธุรกิจโรงงาน-คลังสินค้าขยายพอร์ตแตะ 3.4 ล้าน ตร.ม. ธุรกิจคอมเมอร์เชียล เริ่มรับรู้รายได้จากโครงการสีลมเอจ และรับอานิสงส์โรงแรมฟื้นตัว ควบคู่การบริหารต้นทุนทุกธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ เล็งจ่ายปันผลผู้ถือหุ้น 0.43 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 22 พ.ย. 65 ตอกย้ำผลการดำเนินงานแกร่ง FPT รักษาอันดับเครดิตองค์กรในระดับ “A” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยทริสเรทติ้ง คาดช่วงปีงบการเงิน 2566 ทุกกลุ่มธุรกิจพบหลากปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจเต็มรูปแบบหลัง COVID-19 เตรียมเปิดแผนกลุ่มธุรกิจต่างๆ ต่อเนื่อง
นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรรายแรกของไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในปีงบการเงิน 2565 (ต.ค.64-ก.ย.65) มีรายได้รวมอยู่ที่ 16,347 ล้านบาท เติบโตขึ้น 4% จากปีงบการเงิน 2564 และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,465 ล้านบาท เติบโตขึ้น 57.3% คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) 15.1% โดยผลการดำเนินงานของทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย อสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม และอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม ต่างมีส่วนสำคัญให้ผลการดำเนินงานในปีนี้มีกำไรเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย มีการเปิดตัวโครงการทั้งสิ้น 18 โครงการในปีงบการเงิน 2565 (ต.ค.64-ก.ย.65) มูลค่าโครงการรวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยมีกลยุทธ์สำคัญคือการขยายตลาดมาจับลูกค้าในเซ็กเมนท์กลาง-บนซึ่งเป็นกลุ่มตลาดที่มีกำลังซื้อสูง ควบคู่กับการเพิ่มนวัตกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่ม (Value-added) เข้าไปในบ้านและพื้นที่ส่วนกลาง เช่น เทคโนโลยี Frasers Clean & Cool Air ที่ช่วยระบายอากาศภายในบ้าน และระบบ EV Charger ส่งผลให้ภาพรวมทั้งปีงบการเงิน มีรายได้อยู่ที่ 11,420 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) สูงขึ้นจาก 25% ในปีงบการเงิน 2564 สู่ 32% ในปีงบการเงิน 2565 โดยแบรนด์และโครงการที่ได้รับการตอบรับอย่างยอดเยี่ยมในปีงบการเงินนี้ อาทิ แบรนด์ เดอะ แกรนด์ และ แกรนดิโอ
ด้านกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม มีการขยายพอร์ตโฟลิโอพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าภายใต้การบริหารจัดการเพิ่มขึ้น จาก 3.01 ล้าน ตร.ม. สิ้นปีงบการเงิน 2564 สู่ 3.4 ล้าน ตร.ม. ณ สิ้นปีงบการเงิน 2565 (30 ก.ย. 65) มีการลงทุนเชิงกลยุทธ์ เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโครงการที่อินโดนีเซีย สนับสนุนให้กระแสรายได้จากค่าเช่าแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ภาพรวมทั้งปีงบการเงินมีอัตราการเช่าเฉลี่ย (Average Occupancy Rate) สูงถึง 85% และมีรายได้พิเศษจากการขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT ส่งผลให้มีรายได้ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมรวมอยู่ที่ 3,198 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ที่คลี่คลายลง การเปิดประเทศ และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจโรงแรมมีรายได้โตกว่า 100% ขณะเดียวกัน การทยอยเปิดให้บริการเฟสต่างๆ ของโครงการสีลมเอจ (Silom Edge) ในช่วงงบการเงินไตรมาส 4/2565 (ก.ค.-ก.ย.65) ส่งผลให้บริษัททยอยรับรู้รายได้ใหม่บางส่วนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในภาพรวมธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่ายังคงรักษาอัตราการเช่าได้ในระดับสูงกว่าร้อยละ 90
“เราให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างคู่ขนานของทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกสภาวะเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน เรายังมุ่งมั่นเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนด้วย โดยในปีงบการเงิน 2565 บริษัทมีต้นทุนรวมลดลง 3%” นายธนพล กล่าว
นายธนพล กล่าวอีกว่า สำหรับปีงบการเงิน 2566 (ต.ค.65-ก.ย.66) นั้น ภาพรวมเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนที่สุดในรอบหลายปี จากการคลี่คลายของสถานการณ์ COVID-19 การผ่อนคลายมาตรการ และการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้แผนการขยายโรงงานและคลังสินค้าของบริษัททั้งในและต่างประเทศ กำลังซื้อในภาคที่อยู่อาศัย ตลอดจนการเดินทางท่องเที่ยว จับจ่ายใช้สอย ความต้องการเช่าสำนักงาน จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีหลังของปีปฏิทิน 2565 ทั้งนี้ บริษัทมีแผนงานขยายธุรกิจทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจอย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง ให้สอดรับกับปัจจัยบวกดังกล่าว