ESTAR คาดการณ์กำลังซื้อเรียลดีมานด์เริ่มฟื้นตัวชัดเจนตั้งแต่ต้นปี 2566 ผลจากผู้ซื้อมีความมั่นใจต่อเศรษฐกิจมากขึ้น ผู้บริหารเปิดแผนธุรกิจพัฒนาโครงการแนวราบแนวสูงและรีเทลบุกตลาดปีนี้ ชูจุดเด่นการพัฒนาด้วยแนวคิด Creator of Life’s Pleasure สร้างความสุขและคุณภาพชีวิตด้วย 3 แกนหลัก Design, Green และ Living ที่ผสานเป็นเนื้อเดียวกับการพัฒนาสินค้าให้แตกต่างตอบโจทย์ตรงใจ พร้อมลุยสมรภูมิคอนโดฯ ระดับกลางราคาเริ่มต้นไม่เกิน 3 ล้านบาท ส่ง “Quintara MHy’ Series” โชว์เคสพร้อมกัน 3 ทำเลศักยภาพใจกลางกรุงเทพฯ ด้านโครงการแนวราบยังยึดหัวหาดพื้นที่ภาคตะวันออก จ.ระยอง เตรียมเปิดโครงการบ้านเดี่ยว Breeze Chalet ตั้งเป้ายอดขายรวมปีนี้แตะ 3,100 ล้านบาท
ดร.ต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คาดการณ์กำลังซื้อกลุ่มที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริงกำลังฟื้นตัว ผู้ซื้อเริ่มมีความมั่นใจในสภาพเศรษฐกิจมากขึ้น จะเห็นได้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในทุกภาคส่วนกำลังกลับมาขับเคลื่อนได้เต็มรูปแบบ ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยในปีนี้ มีทิศทางบวก
ทั้งนี้ สภาพการแข่งขันในธุรกิจอสังหาฯ จะแข่งขันในอัตราเร่ง ที่อยู่อาศัยที่ยังเป็นซัพพลายเดิมจะถูกเร่งขายเร่งโอน ขณะที่ซัพพลายใหม่เริ่มมีเข้าสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง ตลาดใหญ่ยังคงเป็นตลาดระดับกลางที่มีกำลังซื้อและมีความต้องการที่อยู่อาศัยจริงโดยในปีที่ผ่านมาพบว่าตลาดที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมคือ อาคารชุดที่ระดับราคา 3-5 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวระดับราคา 5-10 ล้านบาท
สำหรับทิศทางและกลยุทธ์ของบริษัท อีสเทอร์น สตาร์ฯในปีนี้ จะใช้ความโดดเด่นในการพัฒนาดีไซน์และคุณภาพสินค้ามาเป็นจุดแข็ง เพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน มุ่งเจาะกลุ่มตลาดระดับกลาง Gen Y โดยพัฒนาที่อยู่อาศัยทุกโครงการภายใต้แนวคิด Creator of Life’s Pleasure สามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ จากความเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ใน 3 แกนหลักคือ Design ,Green และ Living สร้างสรรค์การอยู่อาศัยแบบ Smart life อย่างสมบูรณ์รอบด้าน
ซึ่งในปีนี้ อีสเทอร์น สตาร์ฯ จะกลับมาลงทุนเพิ่มขึ้น หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายอย่างชัดเจน โดยจะมีสินค้าบุกตลาดในรูปแบบบ้านเดี่ยวบนทำเลโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และโครงการอาคารชุดในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยจะมีการเปิดตัวซีรีส์ใหม่ “มาย” (MHy) 3 ทำเล ภายใต้แบรนด์ควินทารา ในกลุ่มตลาด Affordable บนทำเลศักยภาพใจกลางกรุงเทพฯ รวม 3 โครงการมูลค่า 4,150 ล้านบาท
ประกอบด้วย โครงการ Quintara MHy’DEN โพธิ์นิมิตร คอนโดฯ ไฮไรส์ 40 ชั้น 628 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาททำเลเด่นติดสถานีบีทีเอสโพธิ์นิมิตร มาในคอนเซ็ปต์ ไพรเวทไอส์แลนด์ เป็นอาคารสูงตัวแรกของทางแบรนด์ควินทารา ที่ดีไซน์ให้มีความหลากหลายของขนาดยูนิต ฟังก์ชันใช้สอยครบตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์คน Gen Y ราคาเริ่มที่ 2.69 ล้านบาท
โครงการ Quintara MHy’GEN รัชดา-ห้วยขวาง คอนโดฯ โลวไรส์ 2 อาคาร 383 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,050 ล้านบาท ตอบโจทย์คน Gen Y ที่ชอบสไตล์มินิมอล – น้อยแต่มาก การทำงานจากที่บ้านและการพักผ่อน ราคาเริ่มต้นที่ 2.09 ล้านบาท
และโครงการ Quintara MHy’ZEN พร้อมพงษ์ คอนโดฯ โลวไรส์ 2 อาคาร 276 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นที่ 2.29 ล้านบาท
สำหรับตลาดกลุ่มเป้าหมายของโครงการ อยู่ในกลุ่ม mid-high ซึ่งเป็นคน Gen Y มีไลฟ์สไตล์หลากหลาย ชอบความเป็นส่วนตัวและต้องการใช้พื้นที่ของตัวเองอย่างคุ้มค่า การดีไซน์ฟังก์ชันใช้สอยภายในยูนิตทุกขนาดต้องสะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัยได้ชัดเจนแบบคนยุคใหม่ ทันสมัยและเชื่อมต่อโลกภายนอกด้วยเทคโนโลยี นอกจากนี้ รูปแบบการใช้ชีวิตวิถีใหม่ที่อยู่อาศัยจึงต้องเป็นพื้นที่รองรับกิจกรรมไลฟ์สไตล์ได้ทุกรูปแบบ เป็นได้ทั้งบ้าน ที่ทำงานและที่พักผ่อน การออกกำลังกายได้ ทำงานอดิเรกที่ชื่นชอบได้
“ทำเลยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการตัดสินใจซื้อ จุดนี้ถือเป็นความได้เปรียบของเราที่มีแลนด์แบงค์ในทำเลติดและใกล้รถไฟฟ้า” ดร.ต่อศักดิ์ กล่าว และจุดเด่นอีกประการที่โดนใจกลุ่มเป้าหมายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทำเล คือ ความคุ้มค่า หากพิจารณาถึงทำเล ดีไซน์โครงการทันสมัยไฮเทคและฟังก์ชันพื้นที่ใช้สอยที่สร้างความสุขสร้างคุณภาพชีวิตเมืองอย่างสมบูรณ์ แต่สามารถจ่ายในราคาที่เอื้อมถึงได้ไม่ยาก นับว่าอีสเทอร์น สตาร์ ได้สร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขันในตลาดคอนโดฯ ระดับกลางได้ดีที่สุด
สำหรับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบประเภทบ้านเดี่ยว ซึ่งอีสเทอร์น สตาร์ ยังคงยึดหัวหาดทำเลพื้นที่ภาคตะวันออก จ.ระยอง โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้พัฒนาโครงการใหม่ คือ โครงการบรีซ ชาเลต์ (Breeze Chalet) มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท รูปแบบบ้านเดี่ยวสไตล์อังกฤษในทำเลบูรพาพัฒน์-สุขุมวิท ปัจจุบันมียอดขายไปแล้ว 10 หลัง มูลค่าประมาณ 30 ล้านบาท เป็นหนึ่งในโครงการทำเลใหม่ บนเนื้อที่รวม 200 ไร่ โดยที่ก่อนหน้านี้ ได้พ้ฒนาโครงการแนวราบไปแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ BREEZE ใกล้จะปิดโครงการ และโครงการ TERRA PRIMA จำนวน 200 หลัง มียอดขายไปแล้ว 1 ใน 3 โดยทางโครงการยังมีที่ดินอีกประมาณ 100 ไร่ รองรับการพัฒนาโครงการต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 ปี คาดพัฒนาจนครบทั้งโครงการจะมีมูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 2,500 ล้านบาท
ดร.ต่อศักดิ์ กล่าวถึงผลการดำเนินงานในปี 2566 ว่า ได้วางเป้าที่จะมียอดขายรวม 3,100 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 50% มีรายได้รวม 1,700 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่คาดว่าในปี 2567 รายได้รวมจะเพิ่มเป็น 2,000-3,000 ล้านบาท เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้