
วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ผนึกกำลังกลุ่มเครือข่ายภาควิชาการ วิชาชีพ และภาคเอกชน ประกอบด้วย ศูนย์พลังงานสะอาดและนวัตกรรม (SEIC) สมาคมผู้ตรวจสอบระบบไฟฟ้า (ESIC) บริษัท อินเทลลิจิสต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท จิมร็อคฟอร์ด แอสเซสเมนท์ จำกัด ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) จัดตั้ง “ศูนย์แนะนำการติดตั้งการติดตั้งการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้โซลาร์เซลล์ของภาคประชาชน” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกลไกกลางในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ที่ไม่ได้มาตรฐาน พร้อมยกระดับความปลอดภัยและคุณภาพในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ของประเทศ

ดร.เตชทัต บูรณะอัศวกุล ประธานสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) กล่าวถึงที่มาในการจัดตั้งจัดตั้ง “ศูนย์แนะนำการติดตั้งการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้โซลาร์เซลล์ของภาคประชาชน” ว่า หลังจากที่ทาง วสท. โดยสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า ได้รับทราบปัญหาที่เกิดจากการติดตั้งโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่ของประชาชนในประเทศ ทั้งที่ปรากฏเป็นข่าวและไม่เป็นข่าวมาระยะหนึ่ง จึงได้ทำการพูดคุยกับเครือข่ายภาครัฐและเอกชน และได้มีแนวคิดในการจัดตั้งศูนย์ฯ ขึ้น เพื่อเป็นช่องทางการสื่อสารและประสานงานให้กับภาคประชาชนเพื่อได้ทราบถึงการแก้ปัญหาให้ตรงจุดในประเด็นที่ประชาชนทั่วไปยังไม่เข้าใจ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะทำงานฯ ขึ้น และจะเสนอโครงสร้างของศูนย์ฯ รวมทั้งบทบาทหน้าที่ของศูนย์ฯ ในลำดับต่อไป

ทั้งนี้ จะใช้เครือข่ายของวิศวกรอาสาของวสท. เป็นหลัก และทางวสท. ยินดีร่วมมือกับหน่วยงานอื่นเพื่อให้ขยายช่องทางการติดต่อและประสานงาน ทั้งหน่วยงานมหาวิทยาลัย สมาคมวิชาชีพ เครือข่ายบริษัทเอกชน เพื่อร่วมให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย ดำเนินการด้านระบบ และการติดต่อแบบออนไลน์ โดยคาดว่าจะสามารถจัดตั้งศูนย์ฯ แล้วเสร็จภายในปี 2568 นี้ โดยผู้สนใจสามารถติดตามข่าสารได้ทางเว็บไซต์ของวสท. : https://eit.or.th/ และ Facebook : วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.)
นอกจากนี้ เนื่องจากมาตรฐานความปลอดภัยของการติดตั้งโซลาร์และแบตเตอรี่ยังถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับวิศวกรและช่างไฟฟ้าในประเทศไทย ยังต้องมีการให้ความรู้ด้านความปลอดภัยในการติดตั้ง ทางวสท. โดยสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าจึงได้ออกมาตรฐานการติดตั้งโซลาร์และแบตเตอรี่มาตั้งแต่ปี 2559 และได้ปรับปรุงเป็นฉบับ 2565 และ 2568 เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยี ปรับให้เข้ากับการใช้งานในประเทศไทย และการขออนุญาตติดตั้งที่ถูกต้องอีกด้วย

ดร.สมบัติ วนิชประภา ประธานอนุกรรมการร่างมาตรฐานฯ 2568 กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ใช้ระบบโซลาร์เซลล์ ทั้งในส่วนของครัวเรือน โรงงาน และโซลาร์ฟาร์ม รวมประมาณ 10,000 เมกะวัตต์ ในจำนวนนี้ 50% รับบริการจากผู้ติดตั้งที่อยู่ในระบบ และอีก 50% รับบริการจากผู้ติดตั้งที่อยู่นอกระบบ ซึ่งหากติดตั้งโซลาร์และแบตเตอรี่ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน อาจเป็นสาเหตุของเพลิงไหม้ได้ เช่น จากกรณีที่ใช้สายไฟไม่ได้คุณภาพหรือการเข้าสายผิดพลาด จนเกิดความร้อนสะสมและไฟลัดวงจร, การใช้แบตเตอรี่ลิเธียมชนิดคุณภาพต่ำหรือประกอบเอง โดยไม่มีระบบควบคุม BMS (Battery Management System) และการขาดระบบหยุดทำงานฉุกเฉิน (Rapid Shutdown) หรือการเลือกใช้อุปกรณ์ควบคุมกระแสไฟ (optimizer/micro inverter) ที่ไม่ได้ผ่านการรับรองจากการไฟฟ้า เพิ่มความเสี่ยงในการควบคุมเหตุผิดปกติ
“ทาง วสท. เห็นด้วยกับการที่วิศวกรวิชาชีพจะต้องเข้ามารับผิดชอบในลักษณะ Self-Declare/Check lists เซ็นรับรองการติดการติดตั้งโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่ในขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในความปลอดภัย โดยจะต้องดูทั้งขั้นตอนการออกแบบ คุมงาน และบำรุงรักษา โดยทางศูนย์ฯ จะรณรงค์ประชาสัมพันธ์แนะนำ check list ต่างๆ ให้กับเจ้าของบ้าน ผู้นำเข้าอุปกรณ์ ผู้รับเหมา ผู้ออกแบบ ผู้ควบคุมงาน ว่าจะต้องมีมาตรฐานขั้นต่ำอย่างไรบ้าง ตัวอย่างเช่น ต้องมีวิศวกรไฟฟ้าเซ็นรับรองแบบ ต้องมีช่างไฟฟ้าที่ผ่านการอบรม มีใบประกาศนียบัตรรับรองความรู้เฉพาะทางจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน การออกแบบต้องมีระบบหยุดทำงานฉุกเฉิน (Rapid Shutdown) หรือใช้ optimizer/ micro inverter ที่ผ่านลิสต์ของการไฟฟ้าเท่านั้น การเข้าสายต้องใช้อุปกรณ์โดยเฉพาะ และที่สำคัญต้องทราบถึงอันตรายจากแบตเตอรี่ลิเธียม ซึ่งปัจจุบันมีการนำเข้าและประกอบเองอยู่เป็นอันมาก”

ดร.ธนวิชญ์ ศรีสันติรัตน คณะทำงานศูนย์ฯ และตัวแทนกลุ่มเครือข่ายเอกชน การรับเรื่องร้องเรียนจากการติดตั้งโซลาร์เซลล์ กล่าวว่าจากเหตุการณ์ที่ได้ไปเป็นวิศวกรตรวจสอบปัญหาจากการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ที่บ้านคุณหมอท่านหนึ่ง และพบว่าการดำเนินการด้านข้อกฎหมายในเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องใหม่ ทางกลุ่มฯ จึงได้เข้าปรึกษากับ วสท. เพื่อหาวิธีการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นที่มาของการตั้งศูนย์ฯ นี้

“เท่าที่ได้พูดคุยในเบื้องต้นในการจัดตั้งศูนย์ฯ ได้รับการตอบรับอย่างดีจากหลายกลุ่ม ได้แก่ ที่ปรึกษากฎหมาย ทนายความ สมาคมผู้ตรวจสอบระบบไฟฟ้า หน่วยงานในมหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งบริษัทเอกชน ที่ทำงานด้านระบบ IT ซึ่งทุกท่านจะถูกเชิญมาเป็นคณะทำงานร่วมกัน และจะขยายผลต่อยอดไปสู่การประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้ความรู้ด้านโซลาร์ โดยยึดมาตรฐานวสท.เป็นหลัก ทั้งนี้ จะเตรียมหารือในข้อกฎหมายร่วมกับทางหน่วยงานรัฐภาคบังคับ เช่น กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) การไฟฟ้าฯ เพื่อให้ระบบการแจ้งร้องเรียนมาตราต่างๆ ของข้อกฎหมายเป็นไปอย่างเป็นระบบ และยั่งยืนต่อไป” ดร.ธนวิชญ์ กล่าว

ด้าน วศ.ชิษณุพงศ์ สัจจะวัฒนวิมล นายกสมาคมผู้ตรวจสอบระบบไฟฟ้า กล่าวเพิ่มเติมว่า ในฐานะสมาคมผู้ตรวจสอบระบบไฟฟ้า เราให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับมาตรฐานด้านความปลอดภัยและความเชี่ยวชาญของวิศวกรผู้ปฏิบัติงานสมาคมของเราได้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบและรับรองระบบไฟฟ้าทั้งภาคอุตสาหกรรม อาคาร และที่อยู่อาศัยมาโดยตลอด และเล็งเห็นว่าการเติบโตอย่างรวดเร็วของระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ จำเป็นต้องมีแนวทางกำกับดูแลที่ชัดเจน ครอบคลุม และอิงหลักวิศวกรรมอย่างถูกต้อง
การจัดตั้งศูนย์แนะนำการติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ภาคประชาชนถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งทางสมาคมฯ พร้อมให้การสนับสนุนเต็มที่ ทั้งในแง่ขององค์ความรู้ กำลังคนและการผลักดันให้วิศวกรผู้ตรวจสอบมีทักษะ ความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
“สมาคมฯ เชื่อมั่นว่า การทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาควิชาชีพวิศวกรรม จะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาระบบโซลาร์ภาคประชาชนให้เกิดความมั่นคง ปลอดภัย และยั่งยืนต่อไปในอนาคต” วศ.ชิษณุพงศ์ กล่าว