ต้อนรับปี 2024 ด้วยเมกะเทรนด์ “Sustainable” หรือเทรนด์ความยั่งยืน ในตอนนี้ทุกองค์กรทั่วโลกได้ให้ความสำคัญมากที่สุด ด้วยความยั่งยืนจะถูกแฝงอยู่ในทุกมิติของการดำเนินธุรกิจกลายเป็นส่วนหนึ่งของอนาคต ทั้งเทรนด์เทคโนโลยี เทรนด์การตลาด หรือกระแสนิยมของผู้บริโภค จัดเป็น Global Trend ที่มาแรงที่สุดในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันปัญหาของสิ่งแวดล้อมและมลพิษมีปริมาณสูงมากขึ้น ล่าสุดในช่วงปลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยของเราแทบทุกภูมิภาคเผชิญกับปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่ทำให้การหายใจปกติที่ก่อให้เกิดเป็นปัญหาอันตรายต่อสุขภาพได้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสัญญาณของภาวะโลกร้อนที่เป็นเรื่องใกล้ตัวอย่างเห็นได้ชัด ในภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้างและพัฒนาโครงการอสังหาฯ หลายบริษัทจึงหันมาใส่ใจและเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่มอบความยั่งยืน ทั้งด้านเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดทรัพยากร ประหยัดพลังงาน และปลอดภัยต่อผู้อาศัย
นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (www.plus.co.th) พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้นำด้านการให้บริการอสังหาฯแบบครบวงจร กล่าวว่า “ได้ให้ความสำคัญกับการติดตามเทรนด์ เพื่อนำมาปรับกลยุทธ์ให้ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้บริโภคและผู้ประกอบการ โดยมี 4 เรื่องที่ให้ความสำคัญ Sustainable Living ดังนี้
1.Energy Saving การประหยัดพลังงาน ในหลายๆโครงการอสังหาฯ มีการติดตั้ง Solar Cell พลังงานสะอาดให้กับที่พักอาศัยและพื้นที่ส่วนกลางมากขึ้น ซึ่งการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในโครงการที่อยู่อาศัยนั้น สามารถช่วยลดการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากน้ำมัน และยังเป็นการใช้แหล่งพลังงานสะอาดจากธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด อย่างโครงการที่พลัสฯดูแล เช่น โครงการเอ็กซ์ที พญาไท มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองในโครงการ โครงการ T77 Community มีจุดพักรถ (Solar Bus Stop) ที่สามารถนำพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ใช้ชาร์จแบตฯโทรศัพท์มือถือ (ทั้งแบบไร้สายและ USB) ระหว่างรอรถ Shuttle Bus ซึ่งสามารถสร้างกระแสไฟฟ้าได้ถึง 7,000 วัตต์ (เท่ากับ 2.7 ล้านแอมป์) เทียบเท่าการชาร์จแบตฯ สมาร์ทโฟนจาก 0-100% ได้ถึง 507 รอบต่อวัน รวมถึงการนำน้ำที่ผ่านการใช้แล้วภายในโครงการแล้วมาผ่านระบบการบำบัดน้ำเสีย และนำกลับมารดน้ำต้นไม้ภายในโครงการ เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจ ลดค่าใช้จ่ายให้โครงการแล้ว ยังลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย
2.Smart EV Grow แนวโน้มเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) ในปัจจุบันเป็นที่นิยมมากขึ้น ซึ่งนวัตกรรมของรถไฟฟ้าใช้พลังงานไฟฟ้า100%ในการขับเคลื่อน ซึ่งผู้ใช้รถ EV 80% จะชาร์จไฟฟ้าที่บ้านในเวลากลางคืน และอีก 20% ชาร์จระหว่างทางทำให้การติดตั้ง EV Charger จึงเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญในการพิจารณาที่อยู่อาศัย ปัจจุบันในหลายๆโครงการที่พลัสฯเข้ามาดูแลมีการติดตั้งเครื่องสำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles: EVs) ไว้แล้ว โดยทีมนิติบุคคลที่รับดูแลพื้นที่จะจัดให้มีการอบรมความรู้ วิธีการใช้งานกับเจ้าของผลิตภัณฑ์ EV Charger เพื่อสามารถแก้ไขปัญหาเบื้องต้นและช่วยแนะนำผู้พักอาศัยในการใช้บริการได้ รวมทั้งวางแผนการดูแลรักษาตรวจเช็กตามรอบอย่างสม่ำเสมอ แบบ Preventive Maintenance เป็นการบำรุงรักษาเชิงป้องกันทำให้อุปกรณ์ทำงานได้ตามปกติ รวมถึงบางโครงการอาจจะมีบริการพิเศษให้ลูกบ้านได้เลือกใช้งาน พนักงานของพลัสฯจะได้รับการอบรม Upskill และReskill ความรู้อยู่เสมอเกี่ยวกับอุปกรณ์และขั้นตอนในการใช้เหล่านี้ เช่น สกูตเตอร์ไฟฟ้า บริการรถรับส่งไฟฟ้า หรือบริการเช่ารถยนต์ไฟฟ้าผ่านแอปพลิเคชัน (EV-Car Sharing) โดยถือเป็นการแชร์พาหนะในการเดินทางด้วยกันอย่างชาญฉลาด ซึ่งเป็นหนึ่งใน Sharing Economy ซึ่งเป็นแนวคิดที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่และยังลดการสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
3.Waste Management จัดการขยะอย่างเป็นระบบ พลัสฯมีการส่งเสริมให้ภายในโครงการมีถังคัดแยกขยะแต่ละประเภทอย่างเหมาะสม รวมถึงให้ความรู้ประเภทรีไซเคิล รณรงค์การใช้ซ้ำ เพื่อชะลอขยะไปสู่ Landfill รวมถึงมีการนำเศษอาหารต่างๆในโครงการหมักให้กลายเป็นปุ๋ย ซึ่งปุ๋ยที่ได้นี้สามารถนำไปใช้ในสวนผักออร์แกนิกของโครงการได้อีกด้วย นอกจากนี้บางโครงการมีอุปกรณ์ที่สนับสนุนเรื่องการลดขยะพลาสติก อย่างเครื่องรับคืนขวดพลาสติก (Refun Machine) ที่ให้ผู้อยู่อาศัยนำขวดพลาสติกมาแลกเป็นเงินสะสมเข้าบัญชีที่ผูกไว้ หรือจะเลือกนำเงินที่ได้บริจาคให้กับองค์กรการกุศลต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย
4.Green Space การเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในโครงการ การปลูกต้นไม้ในโครงการที่อยู่อาศัยนั้น เป็นอีกเทรนด์หนึ่งที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลก แต่สำหรับประเทศไทยซึ่งอยู่ในเขตร้อนชื้นมีแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งปี ทำให้การปลูกผักและพืชสวนครัวสามารถทำได้ง่าย โดยพลัสฯมีการทำสวนผักออร์แกนิกที่ดูแลง่าย มีศัตรูพืชน้อย และมีคุณค่าทางโภชนาการ สามารถนำมาบริโภคในครัวเรือน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับลูกบ้านในโครงการ และแนวคิดการปลูกผักภายในโครงการก่อให้เกิดผลดีถึง 2 ต่อ ทั้งด้านการช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพิ่มออกซิเจนให้กับโครงการ และยังทำให้มีผักปลอดสารพิษไว้แบ่งปันให้ลูกบ้านในโครงการอีกด้วย”
ในปีนี้โครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ หลายโครงการไม่ได้เพียงแค่เพิ่มฟังก์ชันและบริการที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การออกแบบให้เป็นโครงการที่สามารถรับแสงและลมจากธรรมชาติ รวมถึงการเลือกใช้วัสดุตกแต่งรีไซเคิลจากเศษวัสดุก่อสร้าง เช่น การนำเศษคอนกรีตมาทำบล็อกทางเดิน เป็นต้น ซึ่งหากทุกๆโครงการ และทุกๆคนให้ความสำคัญกับการใส่ใจสิ่งแวดล้อม เชื่อว่าจุดเริ่มต้นเล็กๆจากตัวเองและสังคมภายในแต่ละโครงการจะสามารถช่วยเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้นเป็นการรักษ์โลกได้อีกแนวทางหนึ่งในปี 2024